เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมประมวล เก็บรักษา และเผยแพร่ข้อมูลและสารสนเทศโดยรวมทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ฐานข้อมูล และการสื่อสาร โทรคมนาคม ระบบสารสนเทศสร้างขึ้นมาเพื่อจุดมุ่งหมายหลายประการจุดมุ่งหมายพื้นฐานประการหนึ่ง คือ การประมวลข้อมูล (Data) ให้เป็นสารสนเทศ (Information) และนำไปสู่ความรู้ (Knowledge) ที่ช่วยแก้ปัญหาในการดำเนินงาน
ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
โดยพื้นฐานของเทคโนโลยีย่อมมีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าได้ แต่เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิถีความเป็นอยู่ของสังคมสมัยใหม่อยู่มาก ลักษณะเด่นที่สำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศมีดังนี้
- เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในการประกอบการทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และการอุตสาหกรรม จำเป็นต้องหาวิธีในการเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารเข้ามาช่วยทำให้เกิดระบบอัตโนมัติ เราสามารถฝากถอนเงินสดผ่านเครื่องเอทีเอ็มได้ตลอดเวลา ธนาคารสามารถให้บริการได้ดีขึ้น ทำให้การบริการโดยรวมมีประสิทธิภาพ ในระบบการจัดการทุกแห่งต้องใช้ข้อมูลเพื่อการดำเนินการและการตัดสินใจ ระบบธุรกิจจึงใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยในการทำงาน เช่น ใช้ในระบบจัดเก็บเงินสด จองตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น
- เทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนรูปแบบการบริการเป็นแบบกระจาย เมื่อมีการพัฒนาระบบข้อมูล และการใช้ข้อมูลได้ดี การบริการต่าง ๆ จึงเน้นรูปแบบการบริการแบบกระจาย ผู้ใช้สามารถสั่งซื้อสินค้าจากที่บ้าน สามารถสอบถามข้อมุลผ่านทางโทรศัพท์ นิสิตนักศึกษาบางมหาวิทยาลัยสามารถใช้คอมพิวเตอร์สอบถามผลสอบจากที่บ้านได้
- เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งที่จำเป็น สำหรับการดำเนินการในหน่วยงานต่าง ๆ ปัจจุบันทุกหน่วยงานต่างพัฒนาระบบรวบรวมจัดเก็บข้อมูลเพื่อใข้ในองค์การประเทศไทยมีระบบทะเบียนราษฎร์ที่จัดทำด้วยระบบ ระบบเวชระเบียนในโรงพยาบาล ระบบการจัดเก็บข้อมูลภาษี ในองค์การทุกระดับเห็นความสำคัญที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้
โดยพื้นฐานของเทคโนโลยีย่อมมีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าได้ แต่เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิถีความเป็นอยู่ของสังคมสมัยใหม่อยู่มาก ลักษณะเด่นที่สำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศมีดังนี้
- เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในการประกอบการทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และการอุตสาหกรรม จำเป็นต้องหาวิธีในการเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารเข้ามาช่วยทำให้เกิดระบบอัตโนมัติ เราสามารถฝากถอนเงินสดผ่านเครื่องเอทีเอ็มได้ตลอดเวลา ธนาคารสามารถให้บริการได้ดีขึ้น ทำให้การบริการโดยรวมมีประสิทธิภาพ ในระบบการจัดการทุกแห่งต้องใช้ข้อมูลเพื่อการดำเนินการและการตัดสินใจ ระบบธุรกิจจึงใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยในการทำงาน เช่น ใช้ในระบบจัดเก็บเงินสด จองตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น
- เทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนรูปแบบการบริการเป็นแบบกระจาย เมื่อมีการพัฒนาระบบข้อมูล และการใช้ข้อมูลได้ดี การบริการต่าง ๆ จึงเน้นรูปแบบการบริการแบบกระจาย ผู้ใช้สามารถสั่งซื้อสินค้าจากที่บ้าน สามารถสอบถามข้อมุลผ่านทางโทรศัพท์ นิสิตนักศึกษาบางมหาวิทยาลัยสามารถใช้คอมพิวเตอร์สอบถามผลสอบจากที่บ้านได้
- เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งที่จำเป็น สำหรับการดำเนินการในหน่วยงานต่าง ๆ ปัจจุบันทุกหน่วยงานต่างพัฒนาระบบรวบรวมจัดเก็บข้อมูลเพื่อใข้ในองค์การประเทศไทยมีระบบทะเบียนราษฎร์ที่จัดทำด้วยระบบ ระบบเวชระเบียนในโรงพยาบาล ระบบการจัดเก็บข้อมูลภาษี ในองค์การทุกระดับเห็นความสำคัญที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้
ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีผลกระทบต่อสังคม
การกำเนิดของคอมพิวเตอร์เมื่อประมาณห้าสิบกว่าปีที่แล้ว เป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่ยุคสารสนเทศ ในช่วงแรกมีการนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องคำนวณ แต่ต่อมาได้มีความพยายามพัฒนาให้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับการจัดการข้อมูล เมื่อเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ได้ก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้สามารถสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กลง แต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น สภาพการใช้งานจึงใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อชีวิตความเป็นอยู่และสังคมจึงมีมาก มีการเรียนรู้และใช้สารสนเทศกันอย่างกว้างขวาง ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศโดยรวมกล่าวได้ดังนี้
1.การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สภาพความเป็นอยู่ของสังคมเมือง มีการพัฒนาใช้ระบบสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อติดต่อสื่อสารให้สะดวกขึ้น มีการประยุกต์มาใช้กับเครื่องอำนวยความสะดวกภายในบ้าน เช่น ใช้ควบคุมเครื่องปรับอากาศ ใช้ควมคุมระบบไฟฟ้าภายในบ้าน เป็นต้น
2.เสริมสร้างความเท่าเทียมในสังคมและการกระจายโอกาส เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดการกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง แม้แต่ถิ่นทุรกันดาร ทำให้มีการกระจายโอการการเรียนรู้ มีการใช้ระบบการเรียนการสอนทางไกล การกระจายการเรียนรู้ไปยังถิ่นห่างไกล นอกจากนี้ในปัจจุบันมีความพยายามที่ใช้ระบบการรักษาพยาบาลผ่านเครือข่ายสื่อสาร
3.สารสนเทศกับการเรียนการสอนในโรงเรียน การเรียนการสอนในโรงเรียนมีการนำคอมพิวเตอร์และเครื่องมือประกอบช่วยในการเรียนรู้ เช่น วีดิทัศน์ เครื่องฉายภาพ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการศึกษา จัดตารางสอน คำนวณระดับคะแนน จัดชั้นเรียน ทำรายงานเพื่อให้ผู้บริหารได้ทราบถึงปัญหาและการแก้ปัญหาในโรงเรียน ปัจจุบันมีการเรียนการสอนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในโรงเรียนมากขึ้น
4.เทคโนโลยีสารสนเทศกับสิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างจำเป็นต้องใช้สารสนเทศ เช่น การดูแลรักษาป่า จำเป็นต้องใช้ข้อมูล มีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม การติดตามข้อมูลสภาพอากาศ การพยากรณ์อากาศ การจำลองรูปแบบสภาวะสิ่งแวดล้อมเพื่อปรับปรุงแก้ไข การเก็บรวมรวมข้อมูลคุณภาพน้ำในแม่น้ำต่าง ๆ การตรวจวัดมลภาวะ ตลอดจนการใช้ระบบการตรวจวัดระยะไกลมาช่วย ที่เรียกว่าโทรมาตร เป็นต้น
5.เทคโนโลยีสารสนเทศกับการป้องกันประเทศ กิจการทางด้านการทหารมีการใช้เทคโนโลยี อาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และระบบควบคุม มีการใช้ระบบป้องกันภัย ระบบเฝ้าระวังที่มีคอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงาน
6.การผลิตในอุตสาหกรรม และการพาณิชยกรรม การแข่งขันทางด้านการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมจำเป็นต้องหาวิธีการในการผลิตให้ได้มาก ราคาถูกลงเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทมาก มีการใช้ข้อมูลข่าวสารเพื่อการบริหารและการจัดการ การดำเนินการและยังรวมไปถึงการให้บริการกับลูกค้า เพื่อให้ซื้อสินค้าได้สะดวกขึ้น
เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องในชีวิตประจำวันและในสังคม บทบาทเหล่านี้มีแนวโน้มที่สำคัญมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เยาวชนคนรุ่นใหม่จึงควรเรียนรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อจะได้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศให้ก้าวหน้าและเกิดประโยชน์ต่อประเทศต่อไป
การกำเนิดของคอมพิวเตอร์เมื่อประมาณห้าสิบกว่าปีที่แล้ว เป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่ยุคสารสนเทศ ในช่วงแรกมีการนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องคำนวณ แต่ต่อมาได้มีความพยายามพัฒนาให้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับการจัดการข้อมูล เมื่อเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ได้ก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้สามารถสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กลง แต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น สภาพการใช้งานจึงใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อชีวิตความเป็นอยู่และสังคมจึงมีมาก มีการเรียนรู้และใช้สารสนเทศกันอย่างกว้างขวาง ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศโดยรวมกล่าวได้ดังนี้
1.การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สภาพความเป็นอยู่ของสังคมเมือง มีการพัฒนาใช้ระบบสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อติดต่อสื่อสารให้สะดวกขึ้น มีการประยุกต์มาใช้กับเครื่องอำนวยความสะดวกภายในบ้าน เช่น ใช้ควบคุมเครื่องปรับอากาศ ใช้ควมคุมระบบไฟฟ้าภายในบ้าน เป็นต้น
2.เสริมสร้างความเท่าเทียมในสังคมและการกระจายโอกาส เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดการกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง แม้แต่ถิ่นทุรกันดาร ทำให้มีการกระจายโอการการเรียนรู้ มีการใช้ระบบการเรียนการสอนทางไกล การกระจายการเรียนรู้ไปยังถิ่นห่างไกล นอกจากนี้ในปัจจุบันมีความพยายามที่ใช้ระบบการรักษาพยาบาลผ่านเครือข่ายสื่อสาร
3.สารสนเทศกับการเรียนการสอนในโรงเรียน การเรียนการสอนในโรงเรียนมีการนำคอมพิวเตอร์และเครื่องมือประกอบช่วยในการเรียนรู้ เช่น วีดิทัศน์ เครื่องฉายภาพ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการศึกษา จัดตารางสอน คำนวณระดับคะแนน จัดชั้นเรียน ทำรายงานเพื่อให้ผู้บริหารได้ทราบถึงปัญหาและการแก้ปัญหาในโรงเรียน ปัจจุบันมีการเรียนการสอนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในโรงเรียนมากขึ้น
4.เทคโนโลยีสารสนเทศกับสิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างจำเป็นต้องใช้สารสนเทศ เช่น การดูแลรักษาป่า จำเป็นต้องใช้ข้อมูล มีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม การติดตามข้อมูลสภาพอากาศ การพยากรณ์อากาศ การจำลองรูปแบบสภาวะสิ่งแวดล้อมเพื่อปรับปรุงแก้ไข การเก็บรวมรวมข้อมูลคุณภาพน้ำในแม่น้ำต่าง ๆ การตรวจวัดมลภาวะ ตลอดจนการใช้ระบบการตรวจวัดระยะไกลมาช่วย ที่เรียกว่าโทรมาตร เป็นต้น
5.เทคโนโลยีสารสนเทศกับการป้องกันประเทศ กิจการทางด้านการทหารมีการใช้เทคโนโลยี อาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และระบบควบคุม มีการใช้ระบบป้องกันภัย ระบบเฝ้าระวังที่มีคอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงาน
6.การผลิตในอุตสาหกรรม และการพาณิชยกรรม การแข่งขันทางด้านการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมจำเป็นต้องหาวิธีการในการผลิตให้ได้มาก ราคาถูกลงเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทมาก มีการใช้ข้อมูลข่าวสารเพื่อการบริหารและการจัดการ การดำเนินการและยังรวมไปถึงการให้บริการกับลูกค้า เพื่อให้ซื้อสินค้าได้สะดวกขึ้น
เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องในชีวิตประจำวันและในสังคม บทบาทเหล่านี้มีแนวโน้มที่สำคัญมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เยาวชนคนรุ่นใหม่จึงควรเรียนรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อจะได้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศให้ก้าวหน้าและเกิดประโยชน์ต่อประเทศต่อไป
บทบาทของเทคโนโลยีที่มีผลกระทบในโลกยุคปัจจบัน
ในอนาคตอันใกล้นี้ คอมพิวเตอร์คงเข้ามาสู่ชีวิตประจำวันของเราไม่มากก็น้อย ไม่ว่าเราจะอยากรู้จักโดยตรงหรือไม่ก็ตาม เช่น เมื่อเราไปฝาก หรือ ถอนเงินจากธนาคารทุกแห่งในขณะนี้ล้วนแล้วแต่ต้องผ่านระบบคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น การซื้อสินค้า หรือชำระเงินค่าบริการต่าง ๆ จากร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน เช่น เซเว่นอีเลเว่น เอเอ็มพีเอ็ม หรือแม้แต่ร้านค้าในปั๊มน้ำมัน หรือปั๊มน้ำมันหลายแห่งในประเทศเรา ก็เช่นกัน เราลองคิดต่อไปว่า จะมีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ส่วนตัวในบ้านมากขึ้นหรือไม่ คำตอบก็คือ น่าที่จะเป็นไปได้และเราน่าจะมอง ต่อไปอีกว่า แล้วเราควรที่จะเป็นผู้บริโภคที่นำเข้าเทคโนโลยีเหล่านี้ตลอดไปหรือไม่ ถ้าคำตอบคือใช่ เราก็ไม่ต้องเรียนรู้สิ่งใดมากนัก นอกจากการเรียนรู้เพียงการใช้งานคอมพิวเตอร์ให้ได้ตามที่เราต้องการ แต่ถ้าเราคิดอย่างสมเหตุสมผล และยุติธรรมต่อประเทศของเรา เราก็น่าที่จะเริ่มเรียนรู้อย่างมีระบบจากง่ายและนำพาตัวเราไปสู่การเรียนรู้ที่เข้าใจเทคโนโลยีอย่างมีการค้นคิดที่มากขึ้นต่อไปในอนาคต เพื่อที่เราจะได้ก้าวไปเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกเทคโนโลยีได้ต่อไป
การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ทางด้านการศึกษา
การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ทางด้านการศึกษาถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญในระดับประเทศ เราจะเห็นได้ว่า รูปแบบการเรียนการสอนในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เดิมในท้องถิ่นที่ห่างไกลความเจริญ เด็ก ๆ แทบจะไม่มีโอกาสได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร จนกลายเป็นผู้ด้อยโอกาสทางสังคม แต่ในปัจจุบันเริ่มมีระบบการถ่ายทอดสัญญาณผ่านดาวเทียมทำให้เด็กเหล่านี้ได้รับโอกาสเรียนรู้ ถึงแม้จะยังไม่แพร่หลายนักก็ตาม สำหรับเด็กในชุมชนที่มีโอกาสได้ใช้คอมพิวเตอร์นอกจากการใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแล้ว ก็ยังสามารถแสวงหาความรู้จากแหล่งความรู้ที่มีอยู่อย่างมากมาย โดยการเชื่อมต่อกับเครือข่ายผ่านระบบอินเตอร์เน็ตที่มีการเชื่อมโยงกันอยู่ทั่วโลก นอกเหนือไปจากความรู้ที่จะได้เรียนในห้องเรียนที่มีครูผู้สอนเป็นผู้ถ่ายทอดเท่านั้น นอกจากนี้ ผู้สอนและผู้เรียนยังสามารถติดต่อถึงกันได้อย่างไร้ขีดจำกัดของเวลา โดยผ่านระบบ อิเล็กทรอนิคส์เมลล์(E-Mail) ได้อีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งเราจะได้ทราบรายละเอียดเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาในบทที่ 12
การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ทางด้านการศึกษาถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญในระดับประเทศ เราจะเห็นได้ว่า รูปแบบการเรียนการสอนในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เดิมในท้องถิ่นที่ห่างไกลความเจริญ เด็ก ๆ แทบจะไม่มีโอกาสได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร จนกลายเป็นผู้ด้อยโอกาสทางสังคม แต่ในปัจจุบันเริ่มมีระบบการถ่ายทอดสัญญาณผ่านดาวเทียมทำให้เด็กเหล่านี้ได้รับโอกาสเรียนรู้ ถึงแม้จะยังไม่แพร่หลายนักก็ตาม สำหรับเด็กในชุมชนที่มีโอกาสได้ใช้คอมพิวเตอร์นอกจากการใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแล้ว ก็ยังสามารถแสวงหาความรู้จากแหล่งความรู้ที่มีอยู่อย่างมากมาย โดยการเชื่อมต่อกับเครือข่ายผ่านระบบอินเตอร์เน็ตที่มีการเชื่อมโยงกันอยู่ทั่วโลก นอกเหนือไปจากความรู้ที่จะได้เรียนในห้องเรียนที่มีครูผู้สอนเป็นผู้ถ่ายทอดเท่านั้น นอกจากนี้ ผู้สอนและผู้เรียนยังสามารถติดต่อถึงกันได้อย่างไร้ขีดจำกัดของเวลา โดยผ่านระบบ อิเล็กทรอนิคส์เมลล์(E-Mail) ได้อีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งเราจะได้ทราบรายละเอียดเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาในบทที่ 12
ปัจจัยที่ทำให้เกิดความล้มเหลวในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้
จากสังคมที่เรามีความต้องการในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มอย่างมากมายนี้ ในบางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้ หากการใช้นั้นเกิดขึ้นโดยไม่ได้อยู่บนรากฐานของความเข้าใจและความสมเหตุสมผลในการใช้ อาทิเช่น เราซื้อคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงเกินกว่างานที่เราจำเป็นต้องใช้มาใช้ในหน่วยงานหรือพยายามหาคอมพิวเตอร์มาทดแทนเครื่องที่มีอยู่ ทั้ง ๆ ที่เครื่องเดิมก็ยังคงยังใช้การได้ก็ทำให้ทั้งหน่วยงานและประเทศต้องเสียเงินตราออกนอกประเทศจนเกินความจำเป็นในภาวการณ์ที่ประเทศของเราเป็นเพียงผู้บริโภค ที่นำเข้าสินค้าเหล่านี้ เท่านั้นและเนื่องจากคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีรวดเร็วมาก การซื้อมาเกินกว่าความ จำเป็นในแต่ละครั้งย่อมเป็นการเพิ่มขยะที่ใช้การไม่ได้ให้แก่หน่วยงาน เพิ่มค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และกลายเป็นซากที่ใช้การไม่ได้ในที่สุด เพราะทุกคนมักต้องการคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการมีคอมพิวเตอร์ใช้นั้น ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับการใช้งาน ทั้งจำนวนและประสิทธิภาพ
การเรียนรู้สารสนเทศจากอินเตอร์เน็ตนั้นได้เปลี่ยนชีวิตผู้คนให้มีลักษณะเป็นวัตถุนิยมมากขึ้น มีการพูดคุยและสื่อสารกันโดยผ่านคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะมีผลทั้งทางลบและทางบวก ในทางบวกนั้น เราจะได้รับข้อมูลข่าวสารที่มากขึ้น แต่ก็มีผลในทางลบด้วยเช่นกัน หากข้อมูลบางอย่างนั้นเป็นภัยทั้งแก่ครอบครัวและประเทศชาติ อินเตอร์เน็ตเป็นทั้งแหล่งความรู้และแหล่งอบายมุกไป พร้อม ๆ กัน เหมือนดาบสองคม ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศให้เกิดประโยชน์จึงมักขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล หรือขึ้นอยู่กับการชักนำไปว่าจะใช้ในทางที่ถูกที่ควรหรือไม่ ซึ่งการที่เด็กของเราจะรับรู้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างไรคงต้องขึ้นอยู่กับการดูแลอย่างใกล้ชิดของทั้งสถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษาในอันที่จะร่วมมือกันอย่างจริงจัง
นอกจากผลที่มีต่อการดำเนินชีวิตแล้ว ทางด้านธุรกิจเองก็ได้รับผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบอย่างรุนแรงเช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่าเดิมการทำธุรกิจเล็กๆ ที่ไม่มีการค้าขายจากต่างชาติเข้ามาแบ่งส่วนแบ่งของตลาด ก็สามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แต่ในปัจจุบันคงกล่าวเช่นนั้นไม่ได้เสียแล้ว เพราะในปัจจุบันถึงแม้จะไม่ได้ทำธุรกิจระหว่างประเทศก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีคู่แข่งจากต่างชาติเข้ามาแย่งส่วนแบ่งของตลาด ทั้งนี้เพราะการโฆษณารวมถึงการซื้อสินค้าสามารถทำได้โดยผ่านสื่ออินเตอร์เน็ตที่เราเรียกว่า"อีคอมเมิซย์"(E-Commerce:Electronic Commerce) ทำให้ผู้ซื้อได้รับข้อมูลหรือแม้แต่การสั่งซื้อสินค้าได้อย่างไร้ขีดจำกัด แม้ร้านนั้นจะเป็นเพียงร้านเล็กๆ ที่อยู่มุมใดมุมหนึ่งของโลกก็ตาม ดังนั้น เราจึงต้องมีการพัฒนารูปแบบในการทำการค้าให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เราจะเห็นได้ว่าการทำธุรกิจอีคอมเมิซย์นี้ ใช่ว่าจะทำให้เกิดความสำเร็จทุกรายไป ทั้งนี้เพราะการทำธุรกิจเช่นนี้ ต้อง ลงทุนมากขึ้นในการซื้อคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้ ต้องจ้างมืออาชีพมาจัดทำระบบอีคอมเมิซ์ย ดังนั้นผู้บริหารคงต้องตัดสินใจให้ได้ว่า การทำธุรกิจลักษณะนี้จะคุ้มกับทุนที่จะต้องลงไปหรือไม่ เมื่อลงทุนไปแล้วจะได้ส่วนแบ่งของตลาดมากพอหรือยัง หรือคิดในทางกลับกัน ถ้าจะไม่ลงทุน จะทำอย่างไรจึงจะสู้คู่แข่งต่างชาติได้ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ ผู้บริหารต้องคิดให้มากขึ้น
จากสังคมที่เรามีความต้องการในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มอย่างมากมายนี้ ในบางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้ หากการใช้นั้นเกิดขึ้นโดยไม่ได้อยู่บนรากฐานของความเข้าใจและความสมเหตุสมผลในการใช้ อาทิเช่น เราซื้อคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงเกินกว่างานที่เราจำเป็นต้องใช้มาใช้ในหน่วยงานหรือพยายามหาคอมพิวเตอร์มาทดแทนเครื่องที่มีอยู่ ทั้ง ๆ ที่เครื่องเดิมก็ยังคงยังใช้การได้ก็ทำให้ทั้งหน่วยงานและประเทศต้องเสียเงินตราออกนอกประเทศจนเกินความจำเป็นในภาวการณ์ที่ประเทศของเราเป็นเพียงผู้บริโภค ที่นำเข้าสินค้าเหล่านี้ เท่านั้นและเนื่องจากคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีรวดเร็วมาก การซื้อมาเกินกว่าความ จำเป็นในแต่ละครั้งย่อมเป็นการเพิ่มขยะที่ใช้การไม่ได้ให้แก่หน่วยงาน เพิ่มค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และกลายเป็นซากที่ใช้การไม่ได้ในที่สุด เพราะทุกคนมักต้องการคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการมีคอมพิวเตอร์ใช้นั้น ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับการใช้งาน ทั้งจำนวนและประสิทธิภาพ
การเรียนรู้สารสนเทศจากอินเตอร์เน็ตนั้นได้เปลี่ยนชีวิตผู้คนให้มีลักษณะเป็นวัตถุนิยมมากขึ้น มีการพูดคุยและสื่อสารกันโดยผ่านคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะมีผลทั้งทางลบและทางบวก ในทางบวกนั้น เราจะได้รับข้อมูลข่าวสารที่มากขึ้น แต่ก็มีผลในทางลบด้วยเช่นกัน หากข้อมูลบางอย่างนั้นเป็นภัยทั้งแก่ครอบครัวและประเทศชาติ อินเตอร์เน็ตเป็นทั้งแหล่งความรู้และแหล่งอบายมุกไป พร้อม ๆ กัน เหมือนดาบสองคม ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศให้เกิดประโยชน์จึงมักขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล หรือขึ้นอยู่กับการชักนำไปว่าจะใช้ในทางที่ถูกที่ควรหรือไม่ ซึ่งการที่เด็กของเราจะรับรู้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างไรคงต้องขึ้นอยู่กับการดูแลอย่างใกล้ชิดของทั้งสถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษาในอันที่จะร่วมมือกันอย่างจริงจัง
นอกจากผลที่มีต่อการดำเนินชีวิตแล้ว ทางด้านธุรกิจเองก็ได้รับผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบอย่างรุนแรงเช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่าเดิมการทำธุรกิจเล็กๆ ที่ไม่มีการค้าขายจากต่างชาติเข้ามาแบ่งส่วนแบ่งของตลาด ก็สามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แต่ในปัจจุบันคงกล่าวเช่นนั้นไม่ได้เสียแล้ว เพราะในปัจจุบันถึงแม้จะไม่ได้ทำธุรกิจระหว่างประเทศก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีคู่แข่งจากต่างชาติเข้ามาแย่งส่วนแบ่งของตลาด ทั้งนี้เพราะการโฆษณารวมถึงการซื้อสินค้าสามารถทำได้โดยผ่านสื่ออินเตอร์เน็ตที่เราเรียกว่า"อีคอมเมิซย์"(E-Commerce:Electronic Commerce) ทำให้ผู้ซื้อได้รับข้อมูลหรือแม้แต่การสั่งซื้อสินค้าได้อย่างไร้ขีดจำกัด แม้ร้านนั้นจะเป็นเพียงร้านเล็กๆ ที่อยู่มุมใดมุมหนึ่งของโลกก็ตาม ดังนั้น เราจึงต้องมีการพัฒนารูปแบบในการทำการค้าให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เราจะเห็นได้ว่าการทำธุรกิจอีคอมเมิซย์นี้ ใช่ว่าจะทำให้เกิดความสำเร็จทุกรายไป ทั้งนี้เพราะการทำธุรกิจเช่นนี้ ต้อง ลงทุนมากขึ้นในการซื้อคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้ ต้องจ้างมืออาชีพมาจัดทำระบบอีคอมเมิซ์ย ดังนั้นผู้บริหารคงต้องตัดสินใจให้ได้ว่า การทำธุรกิจลักษณะนี้จะคุ้มกับทุนที่จะต้องลงไปหรือไม่ เมื่อลงทุนไปแล้วจะได้ส่วนแบ่งของตลาดมากพอหรือยัง หรือคิดในทางกลับกัน ถ้าจะไม่ลงทุน จะทำอย่างไรจึงจะสู้คู่แข่งต่างชาติได้ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ ผู้บริหารต้องคิดให้มากขึ้น
ที่มา : *-* http://learners.in.th/blog/mai8/286380
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น